แค่เพลง 1 เพลง ก็อาจทำให้ลูกค้าอยากมาทานอาหารที่ร้านของคุณหลายๆ ครั้งได้นะ !
วันนี้ Hive จะมาแนะนำเทคนิคการเลือกเพลงเปิดในร้านอาหารให้เข้ากับสไตล์ของร้าน และเพื่อให้ลูกค้าอยากมานั่งทานอาหารที่ร้านของคุณบ่อยๆ กันนะครับ
เทคนิคที่ 1 : เปิดเพลงถูกลิขสิทธิ์ หรือเพลงที่ศิลปินหรือค่ายเพลงอนุญาตให้เปิดได้
ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องใส่ใจ เพราะหากเราเปิดเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ แล้วมีผู้ร้องเรียนก็อาจทำให้เราต้องสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ แบบที่เราก็คาดไม่ถึง
สำหรับวิธีเปิดเพลงในร้านอาหารไม่ให้ละเมิดลิขสิทธิ์ มีวิธีการดังนี้ครับ
1. ตรวจสอบรายชื่อเพลงที่จะใช้เปิด ว่ามีบริษัทใดจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์บ้าง โดยสามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา (www.ipthailand.go.th)
2. อัพเดทรายชื่อเพลงที่แจ้งเก็บค่าลิขสิทธิ์ในเว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง
3. เลือกใช้เพลงที่ค่ายเพลงหรือศิลปินเจ้าของเพลง อนุญาตให้เปิดได้
4. ควบคุมและจำกัดการใช้เพลง เพื่อลดต้นทุนลิขสิทธิ์ และลดปัญหาการดำเนินคดี
เทคนิคที่ 2 : คิดถึง “สภาพแวดล้อม” ที่คุณอยากนำเสนอกับลูกค้า
ข้อนี้เป็นการเปิดเพลงเพื่อให้ลูกค้าได้จินตนาการตามไปด้วย หรืออาจหมายถึงการเลือกใช้เพลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศภายในร้านนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน การเลือกใช้เพลงคลาสสิค จังหวะช้าๆ แต่ไพเราะ ก็จะช่วยให้ลูกค้าได้จินตนาการถึงการไปเยือนเมืองเวนิส ในขณะที่กำลังทานพาสต้าหรือจิบไวน์ไปด้วย ขณะเดียวกัน หากร้านของคุณขายเบอร์เกอร์คู่กับเฟรนช์ฟรายส์ ก็อาจเลือกใช้เพลงสไตล์คันทรี่ ยุค 80-90 หรือเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน อยากลุกขึ้นเต้น
เทคนิคที่ 3 : เลือกเพลงให้เข้ากับสัญชาติอาหาร
ปัจจุบัน มีร้านอาหารหลายสัญชาติเปิดให้บริการในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวีน อินเดีย ไปจนถึงอเมริกา ฝรั่งเศส อิตาลี ซึ่งแต่ละสัญชาติก็มีสไตล์ดนตรีและท่วงทำนองที่แตกต่างกันไป ซึ่งการเลือกเปิดเพลงที่เข้ากับสัญชาติอาหาร จะช่วยเพิ่มความน่ากินให้กับอาหาร และสร้างบรรยากาศน่านั่งให้กับร้านของคุณ
หากไม่แน่ใจว่าร้านอาหารสัญชาติต่างๆ มีสไตล์ดนตรีเป็นอย่างไร อาจเริ่มจากการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต และลองฟังเพลงที่มีชื่อเสียงของประเทศนั้นๆ ดูนะครับ
ข้อนี้เป็นเทคนิคขั้นพื้นฐานที่เราอยากแนะนำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารนำไปใช้ เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่ายและได้ผลเป็นอย่างมาก
เทคนิคที่ 4 : ให้ความสำคัญกับ “ระดับความดังของเสียง”
ในขณะที่เลือกเพลย์ลิสต์หรือแนวดนตรี ก็อย่าลืมเรื่อง”ความดังของเสียง” เนื่องจากมีผลการศึกษาว่า ระดับความดังของเสียงมีผลต่อการเลือกสั่งอาหารของผู้บริโภคและอาจจะส่งผลต่อยอดขายในภาพรวมอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารสำหรับครอบครัว ไม่ควรเปิดเพลงที่มีเสียงดังจนเกินไป เพราะอาจรบกวนกลุ่มลูกค้าที่มักพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร ในทางกลับกัน การเปิดเพลงที่เบาเกินไป ในร้นประเภทผับ บาร์ ก็จะสร้างความจำเจและเบื่อหน่ายให้กับลูกค้าได้ ตามหลักแล้ว ร้านอาหารทั่วๆ ไปควรเปิดเพลงที่มีระดับเสียงต่ำกว่า 70 เดซิเบล เพื่อความสบายหูและเพื่อให้การสนทนาลื่นไหลยิ่งขึ้น
เทคนิคที่ 5 : วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า
เจ้าของร้านควรศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของร้านคุณ เช่น เพศ อายุ รายได้ไดยประมาณ และแนวดนตรีที่ลูกค้าน่าจะชื่นชอบ เพื่อให้การเลือกเพลงสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้ามากที่สุด เช่น ถ้าร้านอาหารของคุณเน้นกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัย การเปิดเพลงที่ดังและเร็วจนเกินไปก็อาจทำให้ลูกค้าลุกหนีไปจากร้านได้
การเลือกเพลงที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ก็จะช่วยสร้างการจดจำให้แก่แบรนด์ร้านอาหารได้ในที่สุดครับ