แค่อาหารอร่อยอย่างเดียว อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ ดังนั้น คุณอาจจะต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามานั่งในร้านคุณมากขึ้น มาดูกันว่า แต่ละเทคนิคที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้านอาหารของคุณได้อย่างไรบ้าง? 1. สะกดใจลูกค้าด้วยเมนูสุดประทับใจ ‘เมนู’ ถือเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดความสนใจของลูกค้า ซึ่งการออกแบบเมนูให้ดูน่าสนใจเป็นสิ่งสำคัญ หลายครั้งที่เราเดินเข้าไปในร้านอาหารบางร้าน และเมื่อเปิดดูเมนูแล้วรู้สึกว่า แต่ละเมนูดูน่ากินไปหมด ในขณะที่บางร้าน แค่เห็นเมนูก็ไม่รู้สึกอยากอาหารไปเลย นั่นเป็นเพราะเมนูเหล่านั้น ไม่ได้ใช้เทคนิคในการออกแบบเมนูที่ดีนั่นเอง อ่านบทความเรื่อง 7 วิธี ดีไซน์เมนูอย่างไร? ให้น่าอ่าน 2. สร้างความประทับใจ ด้วยอาหาร นอกจากหน้าตาอาหารที่สวยงาม ทำให้อาหารดูน่ารับประทานแล้ว สิ่งที่ต้องทำอันดับ 1 ของคนยุคปัจจุบันนี้ คือ ก่อนจะกินอาหารทุกครั้ง ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ดังนั้น อาหารที่จัดเสิร์ฟออกมา ต้องมีการจัดแต่งจานให้เกิดความประประทับใจตั้งแต่แรกเห็น และเมื่อมีการแชร์ลงในโชเซียลมีเดีย ก็เป็นการช่วยโฆษณาให้ร้านได้ดีอีกด้วย 3. อิ่มเอมกับการนั่งทาน เพราะร้านอาหารเปรียบเสมือนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในยุคนี้ไปแล้ว เนื่องจากลูกค้ามักอยากดื่มด่ำบรรยากาศร้าน ก่อนจะได้ลิ้มรสชาติของอาหารเสียอีก ซึ่งการตกแต่งร้านอาหารก็นับเป็นการสร้างบุคลิก ให้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากร้านอื่นๆ รวมทั้งยังช่วยสร้างการจดจำให้กับลูกค้าอีกด้วย แม้อาหารจะหน้าตาเหมือนกันก็ตาม แต่ร้านที่มีการตกแต่งสวยงาม บรรยากาศดี ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้า ซึ่งการตกแต่งร้านที่ดี ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ร้านสวยน่านั่งเท่านั้น แต่เป็นการให้บรรยากาศเล่าเรื่องราวดีๆ ที่ทางร้านมอบให้ หรือให้ลูกค้าได้รับประสบกาณ์ใหม่ๆ…
เราเชื่อว่าเจ้าของร้านหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘FIFO’ กันมาบ้างแล้ว ซึ่งคำนี้ย่อมาจาก First in First out แปลง่ายๆ ว่ามาก่อนใช้ก่อน โดยเป็นวิธีที่ช่วยลดต้นทุนที่ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่ง แต่วันนี้เราจะมาลงรายละเอียดให้มากกว่านี้ว่า เทคนิค FIFO นี้จะทำอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคำว่า ‘FIFO’ ให้ดีกันก่อน ‘FIFO’ ย่อมาจาก First in First out หมายความว่า มาก่อนใช้ก่อน ซึ่งหากวัตถุดิบที่ถูกซื้อเข้ามาก่อนก็จะถูกนำไปใช้ก่อน ส่วนวัตถุดิบที่เพิ่งซื้อก็จะเอาไปใช้ หลังจากวัตถุดิบที่ซื้อมาก่อนหมดแล้ว โดยวิธีนี้ เป็นการลดความเสี่ยงจากการเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุของวัตถุดิบ ทั้งนี้ เจ้าของร้านควรกำหนดมาตรฐานในการจัดเรียงวัตถุดิบ ด้วยการเรียงจาก วัตถุดิบที่ซื้อมาก่อนเอาไว้ด้านหน้า ส่วนวัตถุดิบที่เพิ่งซื้อเอาไว้ด้านหลัง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้พนักงานหยิบวัตถุดิบไปใช้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของร้านควรทำเอกสารเช็ควันหมดอายุของวัตถุดิบ เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าวัตถุดิบไหนใกล้หมดอายุแล้ว จะได้รีบระบายออกให้ทันก่อนหมดอายุ รวมถึงคุณยังจะได้รู้ด้วยว่าร้านจะมีวัตถุดิบเพียงพอต่อการขายหรือไม่ ซึ่งในการเช็ควันหมดอายุของวัตถุดิบนั้น คุณจำเป็นต้องเช็คทุกอย่าง เพียงแต่เลือกเช็ควัตถุดิบที่มีอายุสั้นก็พอ นอกจากนี้ เจ้าของร้านควรหมั่นตรวจสอบเป็นระยะ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานที่คุณกำหนดไว้ และช่วยให้ร้านอาหารลดความเสี่ยงต้นทุนอาหารสูง เคล็ดลับที่ช่วยให้เทคนิค FIFO นั้นได้ผล เมื่อคุณรู้แล้วว่า FIFO คืออะไร และมีประโยชน์ยังไง ต่อจากนี้ มาดูกันว่าเรามีเคล็ดลับอะไรดีๆ ที่ช่วยให้เทคนิคนี้ได้ผลมากขึ้น วิธีที่ได้ผลมากสุดคือ การทำแถบสีและหมายเลขกำกับ เมื่อซัพพลายเออร์มาส่งวัตถุดิบที่ร้านคุณแล้ว พนักงานที่ตรวจเช็คและจัดเก็บวัตถุดิบ ควรนำแถบสีพร้อมหมายเลขเข้าไปติดทันที เพื่อให้คนหยิบใช้รู้ว่าตัวเองหยิบวัตถุดิบถูกต้องหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องอ่านวันหมดอายุให้เสียเวลา สำหรับหมายเลข จะใช้ตรวจสอบว่า เมื่อหมดวัน วัตถุดิบที่ใช้ไปมีประมาณเท่าไหร่ และตรงกับยอดขายวันนั้นของคุณหรือไม่…
ช่วงนี้ร้านอาหารเริ่มกลับมาให้บริการเป็นปกติ ขณะเดียวกันเจ้าของร้านอาหารเองก็ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้มากขึ้น เพราะเราไม่รู้เลยว่าวิกฤตแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ ดังนั้น การวางแผนเตรียมพร้อมรับมือเพื่อสู้กับสถานการณ์ไม่คาดคิดตลอดเวลานั้น ถือเป็นเรื่องใหม่ของเจ้าร้านอาหารทุกประเภทเลยทีเดียว วันนี้เราจะมานำเสนอวิธีการช่วยลดต้นทุนร้านอาหารของคุณแบบง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้ทันที 1. วางแผนการซื้อวัตถุดิบ เจ้าของร้านอาหารส่วนใหญ่มักซื้อวัตถุดิบมาตุนไว้ เพราะหากของหมดจะได้มีเหลือใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นความคิดที่ผิด เพราะหากของหมดอายุหรือเน่าเสียขึ้นมา ก็ต้องทิ้งอยู่ดี ซึ่งเท่ากับว่า ต้องเสียเงินเปล่า ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อวัตถุดิบต้องมีการวางแผนให้รอบคอบ ด้วยการคำนวณสูตรของแต่ละเมนูว่าต้องใส่วัตถุดิบอะไรบ้าง จำนวนเท่าไหร่ และแต่ละวันจะขายทั้งหมดกี่จาน แค่นี้ก็หมดปัญหาเรื่องของเหลือทิ้งแล้ว 2. ตรวจสอบวัตถุดิบทุกครั้ง การตรวจสอบวัตถุดิบก่อนจ่ายเงินทุกครั้ง นอกจากจะช่วยดูว่าได้ของครบตามจำนวน หรือตรงตามที่สั่งแล้วหรือไม่ เจ้าของร้านยังต้องตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบเหล่านั้น ว่าสดใหม่จริง และไม่มีวัตถุดิบที่เสียหายหรือเน่าเสีย เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียทั้งเงินทั้งเวลา 3. ทำฉลากแสดงวันเดือนปี ด้วยการใช้แนวคิด FIFO (First in First out) ถ้าแปลให้เข้าใจง่ายก็คือ วัตถุดิบไหนมาก่อน เอาไปใช้ก่อน โดยอาจจะทำฉลากกำกับวัตถุดิบทุกชิ้นร่วมด้วย เช่น วัตถุดิบนี้รับเข้ามาวันไหน หมดอายุเมื่อไหร่ เพื่อช่วยให้หยิบใช้วัตถุดิบได้ง่ายขึ้น และพนักงานที่นำไปใช้จะได้ทราบว่าวัตถุดิบไหนมาส่งก่อน ก็จะได้เอาใช้ก่อน ส่วนวัตถุดิบชิ้นไหนมาที่หลัง ก็จะถูกหยิบมาใช้ครั้งถัดไป เพื่อความสดใหม่ของอาหาร 4. สร้างสูตรต้นทุนอาหารในทุกเมนู ใช้วิธีการคำนวณสูตรอาหารในทุกเมนู…
เราเชื่อว่าเจ้าของร้านอาหารหลายคน กำลังมองหาวิธีเพื่อให้ร้านอาหารของตัวเองนั้นอยู่รอด รวมทั้งยอมทำทุกวิธีเพื่อให้ร้านของตัวเองนั้นไปต่อได้ วันนี้ เราขอนำเสนอ 8 วิธีที่ช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารต้องรอด! ในช่วงวิกฤตโควิด19 ตอนนี้ และหลังจากนี้ธุรกิจร้านอาหารของทุกคนก็จะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม 1. คิดให้นอกกรอบ ในช่วงนี้ร้านอาหารหลายร้านมีการปรับเปลี่ยนมาขายอาหารแบบไม่มีหน้าร้านแทน ซึ่งวิธีนี้อาจจะใช้เงินทุนไม่มากเท่ากับการเปิดร้านอาหารแบบมีหน้าร้าน ซึ่งข้อดีของการไม่มีหน้าร้าน ทำให้คุณสามารถขายอาหารได้หลากหลายรูปแบบ เช่น หากคุณเป็นเจ้าของร้านอาหารแบบ Fine Dining อยู่แล้ว คุณอาจจะเปิดขายอาหารตามสั่งอีกหนึ่งช่องทางก็ได้ เพราะคุณเองก็สามารถเตรียมอาหารทั้ง 2 ประเภท ภายในครัวเดียวกันได้อยู่แล้ว 2. ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก คุณสามารถตรวจเช็กยอดขายอาหารผ่าน HIVE RI ว่าเมนูไหนขายดี ส่วนเมนูไหนขายไม่ได้ ก็นำออกไปก่อน รวมถึงตัดวัตถุดิบที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออกไป เช่น วัตถุดิบที่นำมาตกแต่งอาหาร เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนให้เกิดต้นทุนสูงทั้งนั้น 3. ชวนลูกค้าให้สนับสนุนร้านต่อ หากคุณมีการติดต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ โดยอธิบายให้พวกเขาเข้าใจต่อสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญว่า ถึงแม้ตอนนี้จะไม่สามารถให้บริการแบบปกติได้ก็ตาม แต่คุณก็ยังให้บริการตามช่วงเวลาและกฎเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด เผื่อลูกค้าหลายคนอาจจะต้องการใช้บริการของคุณอยู่ และพร้อมที่จะสนับสนุนร้านอาหารของคุณด้วยเช่นกัน 4. สั่งซื้อวัตถุดิบผ่านช่องทางออนไลน์ ช่วงวิกฤตโควิด 19 แบบนี้ ส่งผลให้ร้านอาหารหลายเจ้า หันมาให้บริการแบบเดลิเวอรีแทน และเพื่อช่วยให้ร้านอาหารของคุณไปต่อได้ บริการ HIVE Market ได้รวบรวมซัพพลายเออร์ที่น่าเชื่อถือ มาพร้อมกับสินค้าให้เลือกซื้อได้หลากหลาย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณในการจัดเตรียมวัตถุดิบได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องออกไปซื้อสินค้าหลายที่ให้ยุ่งยาก เพราะเราได้รวมมาให้ไว้ที่เดียว นอกจากคุณยังได้เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพเข้าร้านแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือผู้ผลิตรายย่อยในทางตรงอีกด้วย 5. ขอเจรจาปรับลดค่าเช่า ถ้าหากร้านอาหารของคุณต้องจ่ายค่าเช่าสถานที่ด้วย คุณก็จำเป็นต้องขอเจรจาปรับลดค่าเช่า…
งบกำไรขาดทุน หรือ Profit And Loss (P&L) เป็นงบการเงินที่แสดงผลการดำเนินงาน ทั้งรายรับและรายจ่ายของกิจการร้านอาหาร ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่จะต้องไม่เกิน 1 ปี เพื่อวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจว่ามีรายได้และค่าใช้จ่ายในรอบระยะเวลานั้นเท่าใด และเมื่อนำรายได้หักค่าใช้จ่ายแล้ว จะเป็นกำไรสุทธิ (Net Income หรือ Net Profit) หรือขาดทุนสุทธิ (Net Loss) มากน้อยเพียงใด เพื่อให้ทราบผลกำไร หรือขาดทุนเหล่านั้นว่า มาจากส่วนใด และเจ้าของร้านจะได้เอาข้อมูลส่วนนี้ ไปวิเคราะห์และวางแผนดำเนินธุรกิจต่อไป การคำนวณงบกำไรขาดทุน ใช้สูตร : รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไร (ขาดทุน) สุทธิ รายได้ มี 2 ประเภท คือ รายได้จากการขายและบริการ ส่วนรายได้อื่นๆ คือ รายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานตามปกติ และไม่ได้มาจากธุรกิจหลักของกิจการ ซึ่งเจ้าของร้านไม่ควรให้น้ำหนักกับรายได้ส่วนนี้จนเกินไป ค่าใช้จ่าย เกิดจากการขายสินค้าตามรายการ 4 ประเภท ได้แก่ ต้นทุน ค่าแรง…